สื่อประเภทกิจกรรม
สื่อประเภทกิจกรรมนับเป็นสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณค่าต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นอย่างยิ่งเพราะมีศักยภาพสูงในการถ่ายทอดเนื้อหาบทเรียน ทำให้กระบวนการเรียนการสอนดำเนินไปอย่างสนุกสนาน น่าสนใจ
ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสร่วมในกิจกรรม
ความหมายของสื่อกิจกรรม
สื่อกิจกรรม
หมายถึงกระบวนการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้ประสบการณ์หรือเรียนรู้เนื้อหาบทเรียนด้วยการดู
การฟัง การสังเกต การทดลอง การสัมผัสจับต้องด้วยตนเอง
รวมถึงการร่วมแสดงความคิดเห็น การแสดงบทบาทในละคร
การละเล่น เกม กีฬา
การแข่งขันต่าง ๆ ตลอดจนการทำงานร่วมกับบุคคลอื่น ทำให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์แปลกใหม่ด้วยความเพลิด
เพลิน บางกิจกรรมอาจใช้สื่อประเภทวัสดุหรืออุปกรณ์เข้ามาช่วยในการถ่ายทอดความรู้เพื่อให้ผู้เรียนรับรู้และเรียนรู้เนื้อหาสาระในกิจกรรมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
คุณค่าของสื่อประเภทกิจกรรม
สื่อประเภทกิจกรรมมีคุณค่าต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนหลายประการดังนี้
1. ช่วยรวมวัสดุอุปกรณ์หรือประสบการณ์ที่กระจัดกระจายไว้ในที่แห่งเดียวกัน
2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนกล้าแสดงออกและสามารถทำงานร่วมกับบุคคลอื่นได้
3.
ช่วยให้เกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้ร่วมกิจกรรมอื่น ๆ
4.
ช่วยถ่ายทอดเนื้อหาให้เป็นรูปธรรมได้อย่างชัดเจนจากการได้สัมผัสด้วยตนเอง
5.
เป็นนวัตกรรมการเรียนการสอนที่ทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างเพลิดเพลิน
ลักษณะสื่อกิจกรรมที่ดี
สื่อกิจกรรมที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
1. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดขอบข่ายเนื้อหา วัตถุประสงค์
การเข้าร่วมกิจกรรม และประเมินผลกิจกรรม
2. ผู้เรียนได้ฝึกฝนพฤติกรรมการเรียนรู้ทั้งทางด้านความรู้ เจตคติ
และทักษะผสมผสานสอดคล้องกันอย่างบูรณาการ
3. กำหนดเงื่อนไขสำหรับประกอบกิจกรรมไว้ชัดเจน สามารถวัดและประเมินด้วยการสังเกตพฤติกรรมการรับรู้และเรียนรู้ของผู้เรียนได้
4. มีระเบียบกฎเกณฑ์หรือแนวทางที่เป็นมาตรฐานในการดำเนินกิจกรรม ควรมีการ
กำหนดพฤติกรรมที่ถือเป็นระดับต่ำสุดที่พึงพอใจ
5. ใช้เวลาพอเหมาะที่ผู้เรียนจะสามารถดำเนินกิจกรรมให้ประสบผลสำเร็จและก่อให้เกิด
ความภาคภูมิใจในการเรียนรู้ได้
6. กิจกรรมต้องตรงกับเนื้อหาและจุดมุ่งหมายของบทเรียนที่กำหนดไว้
7. กิจกรรมไม่มีความยุ่งยากสลับซับซ้อน มีความยากง่ายเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน
8. เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ประเภทของสื่อกิจกรรม
สื่อกิจกรรมที่นำมาใช้กับการเรียนการสอนมีหลายประเภท
ดังนี้
1. การสาธิต
2. การจัดนิทรรศการ
3. นาฏการ
4. การใช้ชุมชนเพื่อการศึกษา
5. สถานการณ์จำลอง
6. การศึกษานอกสถานที่
การสาธิต (Demonstration)
การสาธิตเป็นวิธีสอนหนึ่งที่มุ่งถ่ายทอดเนื้อหาบทเรียนด้วยการแสดงขั้นตอนหรือกระบวน
การประกอบการอธิบายข้อเท็จจริงพร้อมกับการใช้วัสดุอุปกรณ์หรือเครื่องมือให้ผู้เรียนได้สังเกตไปด้วยเป็นระยะ
ๆ การสาธิตใช้ได้ผลดีกับการสอนทุกระดับชั้นและทุกวิชาโดยเฉพาะกับเนื้อหาวิชาที่เป็นกระบวนการหรือลำดับขั้นตอน
เช่น การปลูก การตอนกิ่งไม้ การเล่นกีฬา
การใช้เครื่องมือต่าง ๆ
การประกอบอาหาร เป็นต้น
1. คุณค่าของการสาธิต
การสาธิตมีคุณค่าต่อกระบวนการเรียนการสอนและการเรียนรู้ของผู้เรียนดังนี้
1.1 เป็นจุดรวมความสนใจของผู้เรียน
การสาธิตที่ถูกต้องและคล่องแคล่วจะเร้าความสนใจผู้ชมได้ดีกว่าการบรรยายเพียงอย่างเดียว ผู้ชมต่างจะเฝ้ารอผลลัพธ์จากการสาธิตอย่างใจจดใจจ่อ
1.2 การสาธิตเหมาะกับการแสดงเนื้อหาที่เกี่ยวกับกระบวนการได้ดี โดยเฉพาะการสอนวิชาทักษะ เช่น
ดนตรี ขับร้อง การพูด
การใช้เครื่องวิทยาศาสตร์
1.3 การสาธิตเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง
โดยการสังเกต วิจารณ์
อภิปรายและหลังจากนั้นอาจมีโอกาสได้ทดลองหรือการปฏิบัติด้วยตนเอง
1.4 ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยความสนุกสนาน
ทำให้เข้าใจและเรียนรู้เนื้อหาจากการสังเกตและมีส่วนร่วมในการทดลองด้วยตนเอง
1.5 สามารถใช้สอนได้ทั้งวิชาที่ต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ประกอบ และวิชาที่มีลักษณะเป็นนามธรรมต้องอาศัยการบรรยายเป็นหลักสำคัญในการเรียนการสอน
1.6 ประหยัดค่าใช้จ่าย ทุ่นเวลา
และป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับนักเรียนได้ดี
1.7 ลดเวลาในการลองผิดลองถูก ทำให้ประหยัดเวลาในการเรียนรู้ของผู้เรียน
1.8 ฝึกให้เป็นผู้มีวิจารณญาณและส่งเสริมให้ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีและถูกต้อง
2. วัตถุประสงค์ในการสาธิต
การสาธิตสามารถนำไปใช้ในกระบวนการเรียนการสอนเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง
ๆ ดังนี้
2.1
เพื่อกระตุ้นความสนใจทั้งในขั้นนำเข้าสู่บทเรียนและขั้นการสอนเนื้อหาบทเรียน
2.2 เพื่อถ่ายทอดความรู้ ทัศนคติ การสร้างประเด็นให้ผู้เรียนคิดหาทางแก้ปัญหาทั้งในขั้นนำเข้าสู่บทเรียนและขั้นการสอน
2.3 เพื่อสร้างความเข้าใจในเนื้อหา หลักการ และความคิดรวบยอดของบทเรียนทั้ง ในขั้นการสอนและการสรุปเนื้อหาบทเรียน
2.4 เพื่อแก้ปัญหาข้อจำกัดต่าง ๆ
เช่น
ข้อจำกัดเกี่ยวกับคุณสมบัติของเครื่องมือ
เครื่องมือราคาแพง
หรือสิ่งนั้นอาจเป็นอันตรายต่อผู้สอนและผู้เรียน
3.
ขั้นตอนในการสาธิต
การสาธิตที่ดีควรมีขั้นตอนในการดำเนินงาน 3 ขั้น
คือ การเตรียม การสาธิต
และการประเมินผล ซึ่งแต่ละขั้นมีรายละเอียด
ดังนี้
เป็นขั้นการรวบรวมเนื้อหา วัสดุอุปกรณ์ การซักซ้อมขั้นตอนการสาธิตก่อนลงมือสาธิตจริง การเตรียมที่ดีย่อมทำให้การสาธิตเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
3.1.1 กำหนดเป้าหมายของการสาธิตว่าจะให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์อะไรบ้างจากการสาธิต
3.1.2 จัดสถานที่ที่จะสาธิตให้เรียบร้อย โดยอาจตั้งโต๊ะวางอุปกรณ์ให้สะดวกและง่ายต่อการหยิบใช้
ให้ผู้เรียนมองเห็นได้อย่างทั่วถึง
ถ้าหากผู้เรียนเป็นกลุ่มใหญ่อาจต้องใช้วิธีถ่ายทอดให้เห็นทางโทรทัศน์วงจรปิด
3.1.3 การสาธิตที่ดีและมีประสิทธิภาพในการแสดงต้องเตรียมเครื่องมือและวัสดุที่จำเป็นไว้ให้พร้อมและจัดเรียงไว้ตามลำดับการใช้ทั้งก่อนและหลัง
3.1.4 การเตรียมความพร้อมให้กับผู้เรียน โดยบอกวัตถุประสงค์ให้ทราบ และอาจต้องแบ่งกลุ่มผู้เรียนเพื่อให้ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมอย่างทั่วถึง
3.1.5 ทดลองซ้อมให้เกิดความคล่องแคล่ว มั่นใจในลำดับขั้นตอนของการสาธิต
3.1.6 วางแผนหาวิธีกระตุ้นเพื่อดึงดูดความสนใจผู้เรียนตลอดเวลาการสาธิต
3.1.7 เตรียมเอกสารประกอบการสาธิตให้พร้อมโดยอาจเขียนลำดับขั้นตอนต่างๆ
ไว้ก็ได้
2.3 ขั้นการสาธิต
เป็นขั้นการแสดงวิธีการหรือกระบวนการประกอบการบรรยายต่อหน้าผู้เรียน ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
2.3.1 อธิบายลำดับให้ผู้เรียนเข้าใจเสียก่อนว่าจะแสดงขั้นตอนการสอนอย่างไร
โดยอาจเขียนเป็นแผนภูมิไว้บนกระ ดานดำ
แผ่นโปร่งใส หรือเอกสารแล้วอธิบายด้วยคำพูดง่าย
ๆ
2.3.2 ขณะอธิบายครูควรใช้แผนภูมิหรือรูปภาพประกอบเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจง่ายยิ่งขึ้นถ้าเป็นเรื่องที่เข้าใจยากอาจต้องใช้สื่ออื่น
ๆ ช่วยด้วย เช่น ภาพยนตร์ โทรทัศน์
คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
2.3.3
สร้างบรรยากาศให้เป็นกันเอง
อธิบายด้วยถ้อยคำชัดเจนจังหวะไม่ช้าหรือเร็วเกินไป
ขณะทำการสาธิตควรย้ำให้ผู้เรียนสังเกตเพื่อการเรียนรู้เป็นระยะ ๆ ไป
2.3.4 กระตุ้นให้ผู้เรียนคิดและติดตามโดยวิธีถาม
เพื่อเร้าความสนใจหรือทายว่าจะเกิดอะไรขึ้น และควรสังเกตสีหน้า ท่าทาง
ความสนใจของผู้เรียนตลอดเวลาที่สาธิต
2.3.5 เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม เช่น
ให้แสดงความคิดเห็น
อภิปรายซักถามปัญหาข้อสงสัยหรือลงมือทดลองปฏิบัติหลังจากการสาธิตจบลง
2.3.6 สรุปเรื่องราวเป็นตอน ๆ
เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ
เมื่อจบแล้วควรสรุปสาระสำคัญอีกครั้ง
ถ้าผู้เรียนยังเข้าใจไม่ถูกต้องครูผู้สอนอาจสาธิตซ้ำอีกก็ได้
3.3 ขั้นการประเมินผล
เมื่อการสาธิตเสร็จสิ้นลงควรทำการประเมินผลทันที ซึ่งอาจทำได้ 2 แบบคือ
3.3.1 ประเมินการเรียนของผู้เรียน
เพื่อให้ทราบว่าพฤติกรรมเปลี่ยนไปตามเป้าหมายที่ต้อง การหรือไม่ โดยวิธีสังเกตความสนใจ ซักถามความเข้าใจ ให้ผู้เรียนสรุปรายงาน เขียนรายงาน
ทำแบบทดสอบ
หรือให้ทำการทดลองสาธิตก็ได้
3.3.2 ประเมินผลการสอนของครูผู้สาธิต ว่าบรรลุเป้าหมายหรือไม่
ลำดับขั้นในการสาธิตเป็นไปตามที่เตรียมไว้หรือไม่ ผู้เรียนสนใจเพียงใด ผู้สาธิตพอใจหรือไม่ ผู้เรียนมีโอกาสซักถามขณะสาธิตและสามารถมองเห็นได้ทั่วถึงเพียงใด
4. ข้อดีและข้อจำกัดของการสาธิต
สื่อกิจกรรมประเภทการสาธิตมีข้อดีและข้อจำกัดดังนี้
4.1
ข้อดี
4.1.1 ใช้สอนเนื้อเกี่ยวกับทักษะและกระบวนการได้ดี
4.1.2
สร้างความยืดหยุ่นและความคุ้นเคยระหว่างผู้สาธิตกับผู้เรียนได้
4.1.3
กระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจได้ดีจากการได้ฟังคำอธิบายประกอบการแสดง
4.1.4
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ร่วมทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง
4.1.5
ค่าใช้จ่ายในการสาธิตไม่มากนักโดยทั่วไปเป็นวัสดุที่ใช้ในงานประจำอยู่แล้ว
4.2
ข้อจำกัด
4.2.1
ต้องมีการเตรียมตัวและฝึกฝนอย่างแม่นยำ
4.2.2
ต้องใช้ทักษะและความชำนาญมากในเรื่องที่สาธิต
4.2.3
หากการสาธิตล้มเหลวจะทำให้คุณค่าการสอนด้อยลงทันที
4.2.4 ไม่เหมาะกับการแสดงต่อหน้าผู้เรียนหรือผู้ชมกลุ่มใหญ่
การจัดนิทรรศการ
การจัดนิทรรศการ (Exhibition) หมายถึง การจัดแสดงสิ่งของ วัสดุ
อุปกรณ์ที่มีความสัมพันธ์กันในแต่ละเรื่องเพื่อเร้าความสนใจให้ผู้ชมกลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมและเรียนรู้ด้วยการดู ฟัง
สังเกต จับต้อง และทดลองภายใต้จุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายจุดมุ่งหมาย
โดยการใช้สื่อหลายชนิด เช่น แผนภูมิ
แผนภาพ หุ่นจำลอง ของจริง
ของตัวอย่าง ภาพถ่าย ฯลฯ
นอกจากนี้ยังสามารถจัดกิจกรรมอื่น ๆ ประกอบเพื่อให้ผู้เรียนหรือผู้ชมรับรู้และเรียนรู้ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เช่น
การสาธิต การแสดง การประกวด
การตอบปัญหา การฉายภาพยนตร์ เป็นต้น
1. คุณค่าของนิทรรศการ
สื่อนิทรรศการมีคุณค่าต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนดังนี้
1.1 ช่วยรวมความคิดที่กระจัดกระจายมาสรุปเป็นความคิดรวบยอดได้ถูกต้อง
1.2
ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักการทำงานเป็นหมู่คณะ ฝึกความรับผิดชอบ
1.3
ผู้เรียนเกิดความเพลิดเพลินและมีอิสระในการรับรู้และเรียนรู้ตามความต้องการ
1.4
การนำเสนอกิจกรรมและสื่อที่แปลกใหม่
จะส่งเสริมให้เกิดความคิดสร้างสรรค์
1.5 นิทรรศการสามารถสื่อความหมายหรือถ่ายทอดสิ่งที่เป็นนามธรรมให้ปรากฏเป็นรูป
ธรรมได้จากสื่อหลาย ๆ ชนิด
2.
ประเภทของนิทรรศการ
นิทรรศการที่พบเห็นโดยทั่วไปแบ่งได้เป็นหลายประเภท ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์หรือวิธีการในการจำแนกดังต่อไปนี้
2.1 การจำแนกตามขนาดได้แก่ การจัดแสดง(display) นิทรรศการ(exhibition) มหกรรม(exposition)
2.2 การจำแนกตามวัตถุประสงค์ ได้แก่
นิทรรศการเพื่อการศึกษา (educational exhibition) นิทรรศการเพื่อการค้า(commercial exhibition) นิทรรศการเพื่อการศึกษาและการค้า (educational
and commercial exhibition)
2.3 การจำแนกตามระยะเวลา ได้แก่ นิทรรศการแบบถาวร (Permanent Exhibition) นิทรรศการแบบชั่วคราว (Non – permanent)
นิทรรศการเคลื่อนที่ (Mobile Exhibition)
2.4 การจำแนกตามสถานที่ ได้แก่ นิทรรศการในร่ม (indoor exhibition) นิทรรศการกลางแจ้ง(outdoor exhibition) นิทรรศการกึ่งกลางแจ้งกึ่งในร่ม(indoor and outdoor
exhibition)
3. หลักการออกแบบนิทรรศการ
การจัดนิทรรศการให้มีประสิทธิภาพสามารถดึงดูดความสนใจและให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ชมได้ควรยึดหลักการออกแบบดังนี้
3.1 ความเป็นเอกภาพ (unity) หมายถึงการออกแบบองค์ประกอบต่าง ๆ
ให้สอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
มีความกลมกลืนกันทั้งวัตถุประสงค์
เนื้อหาสาระ วัสดุอุปกรณ์ เวลา
สถานการณ์ สถานที่
3.2 ความสมดุล (balance) หมายถึงการจัดให้นิทรรศการมีสัดส่วนขององค์ประกอบให้พอเหมาะสม สวยงาม
ก่อให้เกิดความรู้สึกสบาย
การสร้างความสมดุลทำได้ 2 ลักษณะคือ ความสมดุลแบบสมมาตร (symmetry balance) หมายถึง
การจัดให้สัดส่วนทั้งด้านซ้าย –ขวาเท่ากัน และความสมดุลแบบอสมมาตร (asymmetry balance) หมายถึง
การจัดสัดส่วนให้องค์ประกอบด้านซ้ายและด้านขวามีขนาดหรือจำนวนไม่เท่ากัน แต่ให้ความรู้สึกสมดุลได้
3.3 การเน้น(emphasis) เป็นการจัดสิ่งเร้าหรือองค์ประกอบให้โดดเด่นเฉพาะ
เพื่อกระตุ้นความสนใจให้ผู้ชมสามารถรับรู้และเรียนรู้ได้ตามวัตถุประสงค์ การจัดนิทรรศการที่ดีนอกจากการวางแผนในการเลือกเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์กับกลุ่มเป้าหมายแล้ว
ยังสามารถเน้นให้นิทรรศการดูโดดเด่นได้ด้วย
เส้น สี น้ำหนัก
ทิศทาง พื้นผิว ขนาด
แสง เสียง อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างพร้อมกันก็ได้
3.
ขั้นตอนในการจัดนิทรรศการ
การจัดนิทรรศการให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการดึงดูดความสนใจและทำให้ผู้ชมสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง
ๆ ที่นำมาแสดงได้อย่างเพลิดเพลินควรมีขั้นตอนดังนี้
4.1
ขั้นการวางแผน
สิ่งสำคัญในการวางแผนมีดังนี้
4.1.1 การตั้งวัตถุประสงค์ ผู้จัดนิทรรศการควรตั้งวัตถุประสงค์แน่นอนว่าจัดเพื่ออะไร ใครเป็นผู้ชม
เวลาและสถานที่ในการจัดเหมาะสมหรือไม่
4.1.2 การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย สิ่งที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายได้แก่
เพศ วัย ระดับ การศึกษา ฐานะทางเศรษฐกิจ สังคม
วัฒนธรรม เป็นต้น
4.1.3 การกำหนดเนื้อหา
เนื้อในการจัดนิทรรศการแต่ละครั้งต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ ลักษณะของกลุ่มเป้าหมาย ระยะเวลาและเหตุการณ์
4.1.4 การกำหนดสถานที่ สิ่งที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับสถานที่ ได้แก่
ขนาดของสถานที่
ระยะทางในการเดินทาง ฤดูกาล เนื้อหา
และค่าใช้จ่าย
4.1.5 การกำหนดเวลา
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดช่วงเวลาในการจัดนิทรรศการได้แก่ เนื้อหา สถานที่ วัตถุประสงค์
สถานการณ์
4.1.6 การตั้งงบประมาณ
การจัดสรรงบประมาณควรให้ครอบคลุมถี่ถ้วนและเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ เนื้อหา
บุคลากร
4.1.7 การออกแบบนิทรรศการ เป็นขั้นการร่างแบบเพื่อจัดองค์ประกอบต่าง ๆ
ให้ดูสวยงาม กลมกลืนน่าสนใจ
โดยยึดหลักการออกแบบให้ดูแปลกตา เรียบง่าย
และสื่อความหมายดี
4.1.8 จัดเตรียมอุปกรณ์ สิ่งของเครื่องอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่จำเป็นตามแบบร่างและแผนงานที่วางไว้ควรจัดให้เป็นหมวดหมู่
4.1.9 การประชาสัมพันธ์
ควรกระทำสองช่วงคือการประชาสัมพันธ์ก่อนการจัดนิทรรศการและการประชาสัมพันธ์ภายในงานนิทรรศการ
4.1.10 การกำหนดหน้าที่รับผิดชอบ ควรกำหนดให้สอดคล้องกับบทบาทหน้าที่และความรู้ความสามารถของบุคลากรแต่ละคน
4.2 ขั้นการจัดแสดง
เป็นขั้นการนำสิ่งของต่าง ๆ
มาติดตั้งให้ดูสวยงามตามแบบร่างที่ทำไว้ในขั้นการวางแผน
หากมีการวางแผนที่ดีจะทำให้การดำเนินงานขั้นนี้เป็นไปอย่างสะดวก การจัดแสดงให้มีประสิทธิ ภาพควรปฏิบัติดังนี้
4.2.1 การจัดวางหรือติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามที่วางแผนและออกแบบไว้
แต่สามารถปรับปรุงได้บ้างเพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่จริง
4.2.2 การติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ทุกชิ้นต้องมีความมั่นคง แข็งแรง
ต้องระวังไม่ให้เกิดความเสียหายหรือเป็นอันตรายระหว่างการนำเสนอ
4.2.3 การป้องกันอันตรายอย่างรอบคอบจากวัสดุอุปกรณ์ที่มีคม ปลายแหลม
แตกหักง่าย อันตรายจากสารเคมี หรือสัตว์พิษ
ควรวางให้ห่างจากทางเดินผู้ชมไม่สามารถเอื้อมสัมผัสได้
4.2.4 การจัดวิทยากรให้คำแนะนำประจำกลุ่มเนื้อหาหรือกิจกรรมต่าง
ๆ เพื่อตอบข้อสงสัยผู้ชมระหว่างการชมนิทรรศการ
4.2.5 ควรตรวจสอบสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
ให้ใช้งานได้ดีอยู่เสมอ
4.2.6 การประชาสัมพันธ์ภายในต้องใช้เสียงพอเหมาะ ไม่ควรใช้เสียงดังจนน่ารำคาญ
4.2.7 ควรให้ผู้ชมมีส่วนร่วมในกิจกรรมอย่างเต็มใจ
ไม่ยัดเยียดให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัด
4.2.8 ขณะลงมือปฏิบัติอาจต้องแก้ปัญหาบ้างเพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์จริง
4.3
ขั้นการประเมินผล
เป็นขั้นติดตามคุณภาพและประสิทธิภาพในการจัดนิทรรศการแต่ละครั้ง ซึ่งการ ประเมินผลควรทำจากบุคลากร 2 ส่วน ได้แก่ คณะผู้จัดนิทรรศการทุกฝ่าย และผู้ชมกลุ่มเป้าหมาย
5. มาตรฐานในการจัดนิทรรศการ
เกณฑ์ในการวัดการจัดนิทรรศการให้ได้มาตรฐานเป็นกฎเกณฑ์ (Criteria) ที่จะพิจารณาดูว่าการจัดนิทรรศการนั้น ๆ
มีประสิทธิภาพดีหรือไม่ ซึ่งมีข้อพิจารณาดังต่อไปนี้
5.1
ต้องตระหนักว่าการจัดนิทรรศการนั้น เป็นการจัดให้ผู้ชมดูไม่ใช่จัดให้อ่าน
(an
exhibition is seen not read) ฉะนั้นจึงไม่ควรจัดให้มีตัวหนังสือมากเกินไป
เพราะจะเป็นการเสียเวลาแก่ผู้ชม หลักในการจัดที่ดีต้องพยายามให้ผู้ชมเสียเวลาในการทำความเข้าใจน้อยที่สุด
ถ้ามีจุดประสงค์จะให้ผู้ชมอ่านเพื่อศึกษารายละเอียด ควรพิมพ์เป็นเอกสารหรือใบปลิวจะดีกว่า
5.2
ต้องดูว่าสถานที่ที่จะจัดนิทรรศการนั้นเหมาะสมหรือไม่
(exhibits
where it is certain) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของสถานที่นั้น
ๆ ไม่ควรจัดอยู่ในซอกมุมมากเกินไป
หรือจัดในมุมที่มีสิ่งอื่นมาบัง
จนทำให้มองไม่เห็น
5.3
จุดหนึ่งหรือบริเวณหนึ่งที่จัดให้คนดูจะต้องมีจุดมุ่งหมายเดียว
(make
only one big idea) ถ้ามีหลายความคิดจะต้องแบ่งส่วนให้ดีอย่าให้ปะปนกันได้
5.4
ต้องทำสิ่งยาก ๆ ให้ดูง่าย (keep it simple) ใช้เวลาในการทำความเข้าใจน้อยที่สุด
อย่าให้เกิดความรู้สึกยุ่งเหยิงในการดูเป็นอันขาด
เพราะเนื่องจากเราไม่สามารถจะทราบได้ว่าผู้ชมจะมีความรู้สึกระดับไหน เราจึงควรพยายามจัดให้ดูง่ายไว้ก่อน
5.5
การใช้สีเป็นการกระตุ้นความรู้สึกของผู้ชมเป็นอย่างดี (color is an
important adjust to most visuals) ฉะนั้นในการจัดนิทรรศการเราจะต้องศึกษาในเรื่องสีพอสมควร
คุณสมบัติของสีนี้จะเกี่ยวข้องกับจิตวิทยาของสีที่มีต่อคนด้วย
5.6
ตัวหนังสือที่ใช้ในการจัดนิทรรศการจะต้องอ่านง่าย (labels should
be uniform and legible) ไม่ใช่เขียนสวยแต่อ่านยาก หรืออ่านไม่ออก ตัวหนังสือควรจะเป็นแบบฟอร์มเดียวกัน
5.7
ในการจัดนิทรรศการถ้าเราใช้การเคลื่อนไหว ต่าง
ๆ
(motion
attracts attention) มาประกอบด้วย จะสามารถเรียกร้องความสนใจได้มาก เช่น
สิ่งที่หมุนได้ หรือมีไฟกระพริบ
5.8 ต้องคำนึงถึงเรื่องแสงสว่างเป็นสำคัญ (be sure
exhibits is well lighted)
ในการจัดนิทรรศการจะต้องมีแสงสว่างพอเพียง เพื่อให้ผู้ชมมองเห็นได้ถนัดชัด
นาฏการ
นาฏการ (Dramatization) หมายถึงการแสดงต่าง ๆ
ที่จัดขึ้นเพื่อให้ผู้ชมเข้าใจเนื้อหาเรื่องราวจากลีลาท่าทาง บทบาท
ภาษาพูดของผู้แสดง สามารถกระตุ้นความสนใจและเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี สื่อนาฏการอาจนำเสนอด้วยสื่อของจริงหรือเสมือนของจริงก็ได้
ประสบการณ์นาฏการช่วยในการศึกษาวรรณคดี ประวัติศาสตร์
จริยธรรม
และการสื่อสารความคิดที่เป็นนามธรรมได้ดี
เช่น ความสามัคคี ความกตัญญูกตเวที ความซื่อสัตย์
การเสียสละ
ทั้งนี้เพราะสื่อนาฏการสามารถจัดลำดับการเสนอเป็นเรื่องราวให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกเสมือนว่าตัวเองเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น
ๆ ด้วย
1. คุณค่าของนาฏการ
สื่อนาฏการมีคุณค่าต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนดังนี้
1.1 ทำให้บทเรียนเป็นจริงเป็นจังน่าสนใจ ประทับใจ
และจดจำได้นาน
1.2 ส่งเสริมผู้เรียนได้ฝึกทักษะในการแสดงออกด้านภาษาและลีลาการแสดง
1.3 ส่งเสริมการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ โดยร่วมแสดงบทบาทตามเรื่องราว
1.4 ฝึกความคิดสร้างสรรค์และการแก้ปัญหาร่วมกัน
1.5 สร้างและเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่ดีของผู้เรียนได้
1.6 ช่วยระบายความเครียดและตอบสนองความต้องการตามธรรมชาติของเด็ก
2. ประเภทของนาฏการ
สื่อนาฏการแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
นาฏการที่แสดงด้วยคน เช่น
การแสดงละคร ละครใบ้ หุ่นชีวิต
การแสดงบทบาทสมมุติ
และนาฏการที่แสดงด้วยหุ่น
เช่น หนังตะลุง หุ่นเสียบไม้
หุ่นสวมมือ หุ่นชักใย เป็นต้น
2.1 นาฏการที่แสดงด้วยคน
นาฏการที่แสดงด้วยคนมีหลายประเภท
ได้แก่
2.1.1 การแสดงละคร (Play) เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นอยู่ อุปนิสัย
และวัฒนธรรมของตัวละคร
การแสดงละครเป็นสื่อที่จัดสภาพแวดล้อมได้ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงได้มากที่สุด
ความสมจริงสมจังขึ้นอยู่กับความสามารถในการแสดงและการสร้างบรรยากาศ การแสดงละครทั่วไปคณะผู้จัดทำและผู้แสดงต้องใช้เวลาในการฝึกซ้อมและเตรียมการค่อนข้างมาก ด้วยเหตุนี้การแสดงละครจึงไม่สามารถนำเสนอหรือจัดแสดงได้หลายครั้งตามต้องการ
ส่วนการแสดงละครประกอบการเรียนการสอนในห้องเรียนโดยทั่วไปเป็นการแสดงละครสั้น ๆ
มีการแต่งกายแบบง่าย ๆ ให้พอรู้ว่าเป็นตัวละครตัวใด จัดฉากด้วยวัสดุที่หาได้ในท้องถิ่นหรือบางครั้งอาจไม่จัดฉากก็ได้
การซักซ้อมไม่พิถีพิถันในการกระตุ้นความรู้สึกด้วยอารมณ์การแสดงเท่าที่ควร
เพราะส่วนใหญ่มุ่งแสดงเพื่อให้ผู้ชมเห็นประเด็นปัญหาหรือสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่งเป็นการชี้แนะหัวข้อสำหรับการอภิปรายหรือใช้การแสดงเพื่อสรุปความคิดหลังจากการบรรยายก็ได้ การแสดงละครสามารถใช้ประกอบบทเรียนในวิชาต่างๆได้หลายวิชา เช่น
ภาษาต่างประเทศ ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์
สุขศึกษา เป็นต้น
2.1.2 ละครใบ้และหุ่นชีวิต (Pantomime and Tableau) ละครใบ้เป็นการแสดงลักษณะท่าทางการเคลื่อนไหวและสีหน้าให้ผู้ชมเข้าใจโดยผู้แสดงไม่ต้องใช้คำพูดเลย การแสดงเช่นนี้ช่วยฝึกพัฒนา การด้านการเคลื่อนไหวของอวัยวะต่าง
ๆ
ผู้ชมจะเข้าใจได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับลักษณะท่าทางของผู้แสดง ส่วนหุ่นชีวิตผู้แสดงจะยืนหรือนั่งนิ่ง
ๆ ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีการพูด ไม่ต้องซ้อมหรือท่องบท
ไม่ต้องใช้เครื่องแต่งกายหรืออาจใช้เครื่องแต่งกายแบบง่าย ๆ แม้นักเรียนที่เป็นเด็กขี้อายก็แสดงได้ในบางครั้ง
อาจใช้หุ่นชีวิตแสดงเป็นฉากหลังหรือเป็นส่วน ประกอบของการ แสดงละครได้
2.1.3
การแสดงกลางแปลง (Pageant) เป็นการแสดงกลางแจ้งเพื่อถ่ายทอดศิลปะและวัฒน
ธรรมพื้นบ้าน ตลอดถึงประเพณีพิธีการต่าง ๆ
ในท้องถิ่น โดยใช้ผู้แสดงหลายคน เช่น การทำขวัญข้าว
การฟ้อนรำพื้นเมือง
การแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์
กิจกรรมลักษณะนี้ต้องลงทุนและใช้เวลาในการฝึกซ้อมมาก
อาจไม่สะดวกที่จะจัดเพื่อการเรียนการสอนโดยตรง แต่ก็สามารถพาผู้เรียนไปดูและศึกษาในท้องถิ่นได้ตามโอกาสที่จะอำนวยให้หรืออาจศึกษาจากสื่อภาพยนตร์ ม้วนวีดิทัศน์
แผ่นซีดี ก็ได้
2.1.4 การแสดงบทบาทสมมุติ (Role Playing)
เป็นการแสดงโดยใช้สถาน การณ์จริงหรือเลียนแบบสถานการณ์จริงในสภาพที่เป็นปัญหามาให้ผู้เรียนร่วมกันวินิจฉัย หาวิธี แก้ไขและตัด สินปัญหานั้นในช่วงเวลาประมาณ 10 – 15 นาที
การแสดงแบบนี้ส่วนมากไม่มีการซ้อมหรือเตรียมตัวล่วงหน้า
ผู้แสดงจะใช้ความสามารถและแสดงบทบาทได้อย่างอิสระ ตามลักษณะนิสัยของแต่ละคน การแสดงบทบาทสมมุติเหมาะสำหรับการใช้เพื่อศึกษาความคิดและเจตคติของผู้เรียน
ทั้งยังใช้ในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนได้ดีด้วย เช่น
การให้ผู้เรียนออกมาแสดงมารยาทในการต้อนรับแขก การแสดงท่าทางในการรับสิ่งของจากบุคคลอื่น เป็นต้น
|
ภาพที่ 6.1 แสดงภาพนาฏการที่แสดงด้วยคน
หุ่นเป็นตัวละครที่ไม่มีชีวิตเคลื่อนไหวได้ด้วยการกระทำของมนุษย์ หุ่นสร้างจากวัสดุง่าย ๆ
เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและแนวคิดต่าง ๆ นาฏการที่แสดงด้วยหุ่นมีหลายประเภท เช่น
2.2.1 หุ่นเงา (shadow puppet)
เป็นหุ่นที่ฉลุจากหนังสัตว์หรือกระดาษแข็งแล้วใช้ไม้ไผ่ยึดเป็นโครงสำหรับเชิด และบังคับให้หุ่นเคลื่อนไหว
เวลาแสดงต้องให้ตัวหุ่นอยู่หลังจอแล้วใช้แสงส่องให้เกิดเงาบนจอ เช่น หนังตะลุง
2.2.2 หุ่นเสียบไม้หรือหุ่นกระบอก (rod
puppet) เป็นหุ่น 3 มิติ
ที่ใช้แท่งไม้เสียบกับคอหุ่นเพื่อให้ผู้เชิดถือขณะเชิดหุ่น การทำหุ่นชนิดนี้มีตั้งแต่แบบยาก ๆ เช่น กระพริบตา
ขยับปากได้ จนถึงแบบง่าย ๆ
ที่ไม่มีส่วนเคลื่อนไหว เวลาแสดงหุ่นแบบนี้ผู้เชิดหุ่นจะอยู่ตอนล่างด้านหลังของเวที
2.2.3 หุ่นสวมมือ (hand puppet) เป็นหุ่นขนาดเล็กครึ่งตัวมีขนาดพอเหมาะกับขนาดของมือที่เชิดหุ่น หัวหุ่นทำด้วยกระดาษหรือผ้าเป็นหัวคนหรือหัวสัตว์ มีเสื้อต่อที่คอหุ่น ให้ลำตัวและแขนกลวงเพื่อสอดมือเข้าไปเชิดให้เกิดการเคลื่อนไหว
ตามปกติในการเชิดนิ้วกลางและนิ้วหัวแม่มือจะทำหน้าที่เชิดแขน นิ้วชี้เชิดหัวหุ่น ผู้เชิดอยู่ตอนล่างด้านหลังของเวที ในบางครั้งอาจทำหุ่นสวมมือให้เป็นหุ่นที่อ้าปากได้ด้วย
ผู้เชิดก็จะใช้นิ้วมือทั้งสี่เชิดปากซีกบนและหัวแม่มือเชิดปากซีกล่าง เนื่องจากหุ่นมือเป็นหุ่นที่ทำได้ง่าย เชิดง่าย
จึงนิยมนำมาใช้ในการเรียนการสอนมากกว่าหุ่นชนิดอื่น
2.2.4 หุ่นชัก (marionette
) เป็นหุ่นเต็มตัวที่ใช้เชือก ด้าย
หรือไนล่อนผูกติดกับอวัยวะต่าง ๆของหุ่น
แล้วแขวนมาจากส่วนบนของเวที
ผู้ชักหุ่นจะบังคับเชือก
ควบคุมการเคลื่อนไหวของหุ่นให้ทำกิริยาท่าทางต่าง ๆ ได้คล้ายคนจริง ๆ
แต่การบังคับหุ่นทำได้ยากและต้องใช้เวลาฝึกฝนนาน
จึงไม่ค่อยได้นำมาใช้ในวงการศึกษามากนัก
การใช้ชุมชนเพื่อการศึกษา(Community
Study)
การใช้ชุมชนเพื่อการศึกษา
หมายถึงการใช้แหล่งวิชาการและสภาพแวดล้อมของชุมชนให้ เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้
เพื่อขยายประสบการณ์ของผู้เรียนให้กว้างขวาง
มีโอกาสสัมผัสใกล้ชิดกับสภาพความเป็นจริงมากขึ้น
ถ้าได้นำแหล่งวิชาการในชุมชนมาใช้อย่างจริงจังจะก่อให้เกิดความ เข้าใจอันดีและช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำความรู้ ประสบการณ์ไปใช้แก้ปัญหาในการดำรงชีวิตในโอกาสต่อไปได้อย่างดี
1. ประโยชน์ของการใช้ชุมชนเพื่อการศึกษา
การใช้ชุมชนศึกษามีประโยชน์ต่อการเรียนรู้หลายประการดังนี้
1.1
ทำให้ผู้เรียนคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมและรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
1.2 เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้นำความรู้จากห้องเรียนไปใช้ในชีวิตจริง
ๆ เป็นการเชื่อมโยงสภาพการณ์ในห้องเรียนกับสภาพความเป็นจริง
1.3
แหล่งวิชาการในชุมชน ช่วยขยายความรู้เพิ่มเติมจากที่ครูสอนในหลักสูตรให้ สมบูรณ์ขึ้น ช่วยให้ผู้เรียนพบเห็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริง
1.4
แหล่งวิชาการในชุมชนมีมากมายอยู่แล้วทั้งสถานที่ และบุคคล ถ้าครูเลือก และนำมาใช้ให้เหมาะสมก็จะได้ผลคุ้มค่า เพราะเสียค่าใช้จ่ายน้อยหรือไม่เสียเลย
1.5
เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศในการเรียน ช่วยให้ผู้เรียนได้พบสิ่งแปลก
ๆ ใหม่ ๆ เร้าความสนใจและเพิ่มพูนความเข้าใจ
1.6
ฝึกการทำงานร่วมกันอย่างมีมนุษย์สัมพันธ์ สร้างนิสัยช่างซักถาม
สังเกตพิจารณา ฝึกความรับผิดชอบ
ระเบียบวินัย และการตรงต่อเวลา
1.7
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนฝึกทักษะการใช้ภาษาด้านการฟัง การพูด การเขียน
การคิดคำนวณเป็นเหตุเป็นผลเชิงคณิตศาสตร์
และการคิดเหตุผลเชิง ศิลปะและปรัชญา
1.8
เป็นวิธีแก้ปัญหาครูขาดความรู้ความชำนาญบางสาขาในชุมชน ทั้งยังเป็นการสร้างความคุ้นเคยและความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถานศึกษาและชุมชน
ซึ่งนับเป็นการประชา สัมพันธ์สถานศึกษาอย่างหนึ่ง
2. แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในชุมชน
แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในชุมชนมีหลายประเภท กล่าวโดยสรุปคือ
2.1
บุคลากร ได้แก่ บุคคลผู้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์โดยตรงในสาขาอาชีพ
ต่าง ๆ เช่น ตำรวจ พ่อค้า นักธุรกิจ เกษตรกร ช่างฝีมือด้านต่าง ๆ
2.2 สถานที่
ได้แก่สิ่งแวดล้อมในชุมชนทั้งที่เป็นธรรมชาติและสิ่งที่คนในชุมชนสร้างขึ้น
เช่น ทุ่งนา แม่น้ำ
ป่าไม้ โรงงาน สถานที่ราชการ สโมสร อาคารบ้านเรือน เป็นต้น
2.3
วัสดุอุปกรณ์
ได้แก่สิ่งที่เป็นเครื่องมือในการดำรงชีวิตของคนในชุมชนที่สามารถนำ มาเป็นสื่อการสอนได้ เช่น เครื่องมือด้านการเกษตร งานศิลปหัตถกรรมในชุมชน
2.4 กิจกรรมของชุมชน ได้แก่ การละเล่นพื้นบ้าน งานประเพณี
และพิธีต่าง ๆ เช่น ประเพณีการบวช การแต่งงาน การทอดกฐิน
พิธีศพ เป็นต้น
3. วิธีการใช้ชุมชนเพื่อการศึกษา
การใช้ชุมชนเพื่อการศึกษามีวิธีการต่าง ๆ
ดังนี้
3.1
การศึกษาภายในบริเวณโรงเรียน
เป็นการใช้แหล่งทรัพยากรนอกห้องเรียนที่ทำได้สะ ดวกที่สุด
แหล่งวิชาการอาจเป็นได้ทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในบริเวณโรงเรียน เช่น
สนามหญ้าต้นไม้ สระน้ำ รั้ว
แปลงผัก สวนหย่อม
3.2
การศึกษาในชุมชนใกล้โรงเรียน
เช่น วัด หมู่บ้าน โรงงาน ฟาร์ม
สถานที่ราชการ การศึกษาแบบนี้ทำได้ง่ายไม่สิ้นเปลืองทั้งเวลา
และค่าใช้จ่าย
ไม่ต้องขออนุญาตเจ้าสังกัด
เพียงแต่ขออนุญาตหัวหน้าสถานศึกษาก็ใช้ได้
3.3
การเชิญวิทยากรในท้องถิ่นมาบรรยาย
เป็นการเปิดโอกาสให้บุคลากรจากสาขาอาชีพต่าง ๆ ได้ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์โดยตรงแก่ผู้เรียน
เช่น ชาวสวน ช่างไม้
เจ้าหน้าที่อนามัย
บุรุษไปรษณีย์
การจัดการศึกษาวิธีนี้ทำได้สะดวก
ลงทุนน้อย และน่าสนใจ แต่ควรจะเลือกเชิญผู้ที่มีความสามารถด้านการพูดบ้างจึงจะได้ผลดี
3.4
การไปทัศนศึกษานอกสถานที่
เป็นการพาผู้เรียนออกไปศึกษาหาความรู้จากแหล่งชุม ชนอื่นที่อยู่ห่างไกลจากโรงเรียน
การจัดการเรียนการสอนแบบนี้จะต้องปฏิบัติตามระเบียบของกระทรวงเจ้าสังกัด (กระทรวงศึกษาธิการ) และต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองของผู้เรียนก่อนด้วย
สถานการณ์จำลอง
สถานการณ์จำลอง(Stimulation) เป็นการจัดสภาพแวดล้อมเลียนแบบของจริงให้ใกล้เคียงสภาพความเป็นจริงให้มากที่สุด
เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกหัดแก้ปัญหาและตัดสินใจจากสภาพการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นั้น
แล้วนำประสบการณ์แห่งความสำเร็จไปเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาจริง ๆ ต่อไป การจัดการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองจึงต้องจัดประสบการณ์และกิจกรรมในลักษณะของการสร้างสถานการณ์เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนคิดและแก้ปัญหา
ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจ กรรมการเรียนการสอน และยังเป็นการเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้เรียน
หรือผู้เรียนกับผู้เรียนให้มากขึ้นด้วย
การจัดสถานการณ์จำลองเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับคนที่จะออกไปเผชิญกับปัญหา
จริง
ๆ เช่น
การเตรียมนักศึกษาฝึกสอน
ก่อนที่จะออกไปสอนต้องได้รับการฝึกฝนด้านวิชาการสอน ความประพฤติ
การปกครองชั้น ทักษะการสอน การฝึกขับเครื่องบินจำลอง วิธีฝึกทักษะอย่างหนึ่งที่ได้ผลดีคือการฝึกจากสถานการณ์จำลองนั่นเอง
1. ขบวนการแก้ปัญหาในสถานการณ์จำลอง
เมื่อเสนอสถานการณ์จำลองให้กับผู้เรียนแล้ว
ครูควรสรุปแนวทางในการแก้ปัญหาให้กับผู้เรียนแล้วให้ผู้เรียนเข้าร่วมมีบทบาทในการแก้ปัญหาด้วยตนเอง
แนวทางในการแก้ปัญหาโดย ทั่วไปจะประกอบด้วย
1.1
ปัญหาคืออะไร
1.2
สาเหตุของปัญหา
1.3
รวบรวมข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ
1.4
หาทางเลือกสำหรับการตัดสินใจ ซึ่งอาจมีหลายทาง
1.5
ตัดสินใจเลือกวิธีแก้ปัญหาที่มีเหตุผลดีที่สุด
1.6
ลงมือแก้ปัญหาตามวิธีที่เลือก
1.7
ประเมินผลการแก้ปัญหา
1.8
พิจารณาปรับปรุงผลของการแก้ปัญหาเพื่อนำไปใช้ต่อไป
2. การใช้สถานการณ์จำลองในการเรียนการสอน
ลำดับขั้นในการใช้สถานการณ์จำลองในการสอน ครูอาจทำได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้
2.1
ผู้สอนเสนอสถานการณ์ที่ทำให้เกิดปัญหา
2.2 ผู้เรียนศึกษาปัญหารวบรวมข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางตัดสินใจ
และแก้ปัญหาตามขั้นตอน
จนกระทั่งได้ข้อสรุป การทำงานในขั้นนี้นิยมแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อยเพื่อหาแนวทางของแต่ละกลุ่ม
2.3
แต่ละกลุ่มเสนอวิธีการแก้ปัญหาของตนต่อชั้นเรียน
2.4 ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันประเมินค่าโดยพิจารณาเหตุผลว่าวิธีการใดที่ดี
และมีเหตุผลดีที่สุด
สำหรับการแก้ปัญหานั้น ๆ
การศึกษานอกสถานที่
การศึกษานอกสถานที่หรือการทัศนศึกษา(Field Trip)
หมายถึงกิจกรรมที่พาผู้เรียนออกไปหาประสบ การณ์นอกห้องเรียน เพื่อให้เกิดการเรียนที่สอดคล้องกับเนื้อหาและวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
การไปทัศนศึกษาต่างจากการทัศนาจรโดยทั่วไปตรงที่การทัศนาจรมุ่งความสนุกสนาน เพลิดเพลินเป็นสำคัญ
ส่วนการศึกษานอกสถานที่เน้นการเรียนรู้เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียน ซึ่งต้องอาศัยการวางแผนและการดำเนินการอย่างมีขั้นตอนเป็นสำคัญ
1. คุณค่าของการศึกษานอกสถานที่
การศึกษานอกสถานที่มีคุณค่าต่อผู้เรียนดังนี้
1.1
ช่วยให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรง
1.2
ช่วยให้บทเรียนมีความหมายยิ่งขึ้น
1.3
ช่วยให้ฝึกฝนระเบียบวินัย
การตรงต่อเวลา และมนุษยสัมพันธ์
1.4
ช่วยส่งเสริมการทำงานร่วมกันทั้งก่อนและหลังกิจกรรมทัศนศึกษา
1.5
ช่วยให้ผู้เรียนได้ร่วมกิจกรรมการเรียนอย่างเพลิดเพลิน
1.6
ช่วยให้การเรียนรู้เป็นไปในลักษณะบูรณาการ
2. ขั้นตอนในการศึกษานอกสถานที่
การศึกษานอกสถานที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบหลายประการ
เช่น ครู ผู้เรียน ผู้ปกครองยานพาหนะ
สถานที่หรือแหล่งศึกษา
บุคลากร ระเบียบทางราชการ ฯลฯ
ดังนั้นเพื่อให้การศึกษานอกสถานที่จะดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงควรมีขั้นตอนในการปฏิบัติดังนี้
2.1
ขั้นการเตรียมหรือการวางแผน
ก่อนออกไปศึกษานอกสถานที่จะต้องเตรียมหรือวางแผน ดังนี้
2.1.1
การเตรียมสำหรับครู
1) กำหนดวัตถุประสงค์ให้สอดคล้องกับบทเรียน
2) เลือกสถานที่ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์
3) หาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ที่จะไปศึกษา
เพื่อทราบปัญหาต่าง ๆ
4) ติดต่อขออนุญาตเจ้าของสถานที่ที่จะไป แจ้งวัตถุประสงค์จำนวนของผู้เข้าชมและวันเวลาในการเข้าชม
5) ตรวจสอบเส้นทาง วางแผนการเดินทาง และทำกำหนดการเดินทาง
6) ทำหนังสือขออนุญาตตามระเบียบราชการและขออนุญาตผู้ปกครอง
7) ติดต่อยานพาหนะที่ดีให้มีจำนวนเพียงพอ แล้วนัดวันเวลา
8) กำหนดข้อตกลงต่าง ๆ
เพื่อความปลอดภัยของผู้เรียน
9) ให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสถานที่ที่จะไปชมเพื่อเป็นแนวทางในการศึกษา
2.1.2 การเตรียมสำหรับผู้เรียน
1) การตั้งวัตถุประสงค์ว่าต้องการทราบอะไรจากการไปทัศนศึกษา
2) เตรียมปัญหาหรือคำถามเพื่อหาคำตอบกับการร่วมกิจกรรม
3) แบ่งหน้าที่รับผิดชอบ เช่น บันทึกภาพ
ซักถาม กล่าวขอบคุณ
4 ) ตกลงเรื่องการแต่งกาย มารยาท
และการวางตัวขณะฟังบรรยาย
2.2
ขั้นดำเนินกิจกรรม
ในขั้นนี้ต้องปฏิบัติตามแผนที่กำหนดไว้ดังนี้
2.2.1
รักษาเวลาและกำหนดการอย่างเคร่งครัด
2.2.2 ให้ผู้เรียนได้รับความรู้จากกิจกรรมอย่างเต็มที่
2.2.3 ผู้เรียนต้องรักษามารยาท ให้เกียรติสถานที่ และวิทยากรตลอดเวลา
2.2.4 เมื่อศึกษาเสร็จต้องกล่าวขอบคุณหรืออาจมอบของที่ระลึกแก่วิทยากร
2.3 ขั้นประเมินผลหรือติดตามผล
เมื่อกลับจากการศึกษานอกสถานที่สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือ
การจัดกิจกรรมประเมินผล ซึ่งอาจทำได้หลายวิธี เช่น การอภิปราย
เขียนรายงาน เรียงความ จัดป้ายนิเทศ
ทดสอบทบทวน รวมทั้งการสรุปข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไขในการจัดทัศนศึกษาครั้งต่อไป เช่น
2.3.1 การเตรียมล่วงหน้าดีหรือไม่
2.3.2 วัตถุประสงค์ชัดเจนหรือไม่
2.3.3
การปฏิบัติตามระเบียบวินัยเป็นอย่างไร
2.3.4 การตรงต่อเวลาและกำหนดการเป็นอย่างไร
2.3.5 เวลามากหรือน้อยเกินไป
2.3.6 เนื้อหาสาระเหมาะสม คุ้มค่าหรือไม่
2.3.7 ผู้เรียนให้ความสนใจมากน้อยเพียงใด
2.3.8 ปัญหาอื่น ๆ มีอะไรบ้าง
บทสรุป
สื่อกิจกรรมเป็นกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนได้เข้าร่วมกิจกรรม เพื่อให้มีโอกาสเรียนรู้ประสบการณ์ต่าง ๆ ด้วยตนเอง สื่อกิจกรรมมีคุณค่ามากมายในด้านส่งเสริมให้ผู้เรียนกล้าแสดงออกและสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ ผู้เรียนจะค้นพบความรู้จากการปฏิบัติ
นอกจากนี้สื่อกิจกรรมส่วนใหญ่จะให้ความเพลิดเพลินสนุกสนาน สื่อกิจกรรมที่ดีควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมกำหนดขอบข่ายเนื้อหา วัตถุประสงค์
เข้าร่วมกิกรรมและการประเมินผล
ควรเป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ในด้านความรู้ เจตคติ
และทักษะอย่างบูรณาการ
ทั้งนี้ต้องตรงกับเนื้อหาและจุดมุ่งหมายของบทเรียน ก่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ อยู่ในความสนใจและมีความยากง่ายเหมาะสมกับผู้เรียน
สื่อกิจกรรมที่นำมาใช้ในการเรียนการสอนมีหลายประเภท เช่น
การสาธิต การจัดนิทรรศการ นาฏการ
การใช้ชุมชนเพื่อการศึกษา
สถานการณ์จำลอง
และการศึกษานอกสถานที่ เป็นต้น
หนังสืออ้างอิง
วิวรรธน์ จันทร์เทพย์. ( 2540 ). เทคโนโลยีการศึกษา. ราชบุรี: คณะครุศาสตร์
สถาบันราชภัฏ
หมู่บ้านจอมบึง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น